วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องที่นักเรียนสนใจ (3)


5 อันดับ หนังที่ทำรายได้สูงสุด

กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องราวของความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ครับ ยังคงนำเอาเรื่องราวที่มีความเป็นที่สุดจากทั่วทุกมุมโลกทั้งใหม่และเก่าที่น่าสนใจมาให้ได้ติดตามรับชมกันอย่างต่อเนื่องเช่นเคย
ช่วงนี้ถือว่ากระแสของการดูหนังนั้นมาแรงมากๆ โดยเฉพาะกระแสของหนัง Fast & Furious 7 ที่เปิดตัวทำรายได้ถล่มทลายทั่วโลก แถมมีนักแสดงชาวไทยของเราไปร่วมแสดงด้วยอีกต่างหาก  จึงชวนให้นึกไปว่า เอ๊!! แล้วหนังเรื่องไหนกันน๊าที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก คุณก็คงจะเริ่มสงสัยขึ้นมาเหมือนกันกับผมแล้วใช่มั้ยละครับ วันนี้เราจึงได้นำเอาการจัดอันดับของหนังที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกตลอดกาลมาฝากกันครับ จริงๆ แล้วอันดับหนังเหล่านี้มีอยู่หลายร้อยอันดับด้วยกันแต่เราขอหยิบเอามาให้ชมเพียงแค่ 5 อันดับแรกเท่านั้น

อันดับที่ 1 AVATAR
ปีที่ออกฉาย – 2009
รายได้ทั่วโลก – $2,782.3 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่2 TITANIC
ปีที่ออกฉาย – 1997
รายได้ทั่วโลก – $2,186.8 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 3 THE AVENGERS
ปีที่ออกฉาย – 2012
รายได้ทั่วโลก – $1,518.6 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับที่ 4 HARRY POTTER AND THE DEATHLY HALLOWS
ปีที่ออกฉาย – 2011
รายได้ทั่วโลก – $1,341.5 ล้านเหรีญสหรัฐ


อันดับ 5 FROZEN 
ปีที่ออกฉาย – 2013
รายได้ทั่วโลก – $1,252.7 ล้านเหรีญสหรัฐ



จาก 5 อันดับข้างต้นจะเห็นว่าหนังของผู้สร้าง เจมส์ คาเมรอน นั้นทำรายได้สูงที่สุดในโลกทั้งอันดับที่ 1 และ 2 ถือว่าผลงานของเขานั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ แล้วตอนนี้หลายคนก็กำลังรอคอยหนัง Avatar ภาค 2 กันอยู่ใช่มั้ยละ


ที่มา: http://www.ที่สุดในโลก.com

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Review/แนะนำ การใช้งาน1โปรแกรม



 REVIEW: แอพพลิเคชั่น "Shazam" 


อยากรู้ว่าเพลงอะไรต้องแอพนี้เลย!

Shazam เป็นอีกแอพหนึ่งที่มีความสามารถในการหาเพลงว่า เพลงที่ได้ยินนั้น คือเพลงอะไร, ศิลปินคนไหน และเพลงนี้มีรายละเอียดประวัติความเป็นมาอย่างไร แบบเรียกว่าแทบจะยกข้อมูลค่ายเพลงกันมาเลยทีเดียว

สำหรีบวิธีใช้การใช้งานนั้น ง่ายนิดเดียว มีดังนี้



เมื่อเปิดแอพขึ้นมาก็จะพบหน้าจอดังภาพ ให้ไปที่ Tagging(ซ้ายบนสุด) ซึ่งเป็นเมนูการค้นหาเพลงด้วยการให้แอพนี้มันฟังผ่านทางไมค์หรือพูดง่ายๆก็คือ ให้เอามือถือไปจ่อที่ๆมีเสียงเพลงที่เราอยากจะรู้ว่าเป็นเพลงอะไร ของนักร้องคนไหนนั่นเอง



จากนั้นก็เพียงรอแอพ Loading เพื่อค้นหาเพลงตามที่เราเอาโทรศัพท์ไปจ่อนั่นเอง 



เพียงแค่นี้เราก็จะได้ชื่อเพลง/ชื่อนักร้องที่เราต้องการแล้ว!



ลิ้งก์สำหรับดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Shazam 
iOS: CLICK
Google Play(Android):  CLICK



ที่มา: http://www.thaiandroidphone.com/thread-29811-1-1.html


วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์




 คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 



การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้

สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจากเดิม
การเชื่อมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถิ่น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่อง
ไมโครคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การทำงานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบควมแฟ้มข้อมูลต่างๆ มีการทำฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการระบบสือสารหน่วยบริการใช้เครื่องพิมพ์ หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการปลายทาง และอุปกรณ์ประกอบสำหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายเพื่อจะทำงานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในรูป เป็นตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มเชื่อมโยงเป็นระบบ


http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/network.gif
(รูปภาพ: แสดงตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มอุปกรณ์รอบข้างเชื่อมโยงเป็นระบบ)


เครือข่ายคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการให้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต่ออยู่บนเครือข่ายทำงานร่วมกันได้ทั้งหมดในลักษณะที่ประสานรวมกัน โดยผู้ใช้เห็นเสมือนใช้งานในอุปกรณ์เดียวกัน จึงเป็นวิธีการในการนำเอาอุปกรณ์ต่างชนิดจำนวนมาก มารวมกันเป็นเสมือนระบบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะมาจากต่างยี่ห้อ ต่างบริษัท ก็ได้

ความหมายของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น


(รูปภาพแสดงเครือข่ายคอมพิวเตอร์)
ที่มาของภาพ: https://th.wikipedia.org/wiki/เครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation System)

คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย หมายถึงคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการทรัพยากร (Resources) ต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยความจำสำรอง ฐานข้อมูล และ โปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ในระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มักเรียกว่าคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ในระบบเครือข่ายระยะไกล ที่ใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือ มินิคอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย เรานิยมเรียกว่า
Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน
ช่องทางการสื่อสาร

ช่องทางการสื่อสาร
ช่องทางการสื่อสาร หมายถึง สื่อกลางหรือเส้นทางที่ใช้เป็นทางผ่าน ในการรับส่งข้อมูล ระหว่างผู้รับ (Receiver) และผู้ส่งข้อมูล (Transmitter) ปัจจุบันมีช่องทางการสื่อสาร สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย คอมพิวเตอร์มีหลายประเภทคือ สายโทรศัพท์แบบสายคู่ตีเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) สายคู่ตีเกลียว แบบมีฉนวนหุ้ม (STP) สายโคแอคเชียล สายใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวป และดาวเทียม เป็นต้น


(รูปภาพแสดงช่องทางการสื่อสารโดยใช้จานดาวเทียม)
ที่มาของภาพ: http://www.tech-faq.com/satellite-dishes.html


สถานีงาน
สถานีงาน (Workstation or Terminal) หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางหรือสถานีงาน ที่ได้รับการบริการจากเครื่อง คอมพิวเตอร์แม่ข่าย เรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Workstation) ในระบบเครือข่ายระยะใกล้ มักมีหน่วยประมวลผล หรือซีพียูของตนเอง ในระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม เป็นศูนย์กลาง เรียกสถานีปลายทางว่าเทอร์มินอล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและแป้นพิมพ์เท่านั้น ไม่มีหน่วยประมวลกลางของตัวเอง ต้องใช้หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางหรือ Host

อุปกรณ์ในเครือข่าย
การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้

องค์ประกอบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
- โมเด็ม ( Modem : Modulator Demodulator) หมายถึง อุปกรณ์สำหรับการแปลงสัญญาณดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก(Analog) เมื่อถึงคอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ โมเด็มก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก ให้เป็นดิจิตอลนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผล โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล โดยการใชสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลาง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
- ฮับ ( Hub) คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ใช้เป็นจุดรวม และ แยกสายสัญญาณ เพื่อให้เกิดความสะดวก ในการเชื่อมต่อของเครือข่ายแบบดาว (Star) โดยปกติใช้เป็นจุดรวมการเชื่อมต่อสายสัญญาณระหว่าง File Server กับ Workstation ต่าง ๆ

ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ จัดการระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัย ของระบบเครือข่าย และยังมีหน้าที่ควบคุม การนำโปรแกรมประยุกต์ ด้านการติดต่อสื่อสาร มาทำงานในระบบเครือข่ายอีกด้วย นับว่าซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย มีความสำคัญต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างยิ่ง ตัวอย่าง ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Windows NT , Linux , Novell Netware , Windows XP ,Windows 2000 , Solaris , Unix เป็นต้น



การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารนั้น สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้

1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส จะประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา


http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/bus_topology.jpg


2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง


http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/ring_topology.jpg



3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย


http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/STAR.JPG






ที่มา: 
http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/network.html
https://th.wikipedia.org/wiki/เครือข่ายคอมพิวเตอร์

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ Onet คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ


 วิเคราะห์ข้อสอบ O-net คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ 


1.บัสเปรียบเทียบได้กับสิ่งใด
ก. ลิฟต์                            
ข. ฟุตบาท
ค. แผนที่                        
ง. ช่องทางจราจร
ตอบ ง.
ระบบบัส (System Bus)เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารและขนถ่ายข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผล (CPU) กับอุปกรณ์อื่นๆ โดยระบบบัสจะทำหน้าที่เป็นเส้นทางหลักของคอมพิวเตอร์ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ ไปยังหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) เปรียบเสมือนเป็นถนนที่มีหลายช่องทางจราจร
ที่ยิ่งมีช่องทางจราจรมาก ก็ยิ่งระบายรถได้มากและหมดเร็ว


2.การบันทึกไฟล์วิดีโอจะมีรูปแบบนามสกุลตรงกับข้อใด
ก. .avi                          
ข. .jpg
ค. .mp3                        
ง.  .bmp
ตอบ ก.
.avi คือ Video File เป็นไฟล์ภาพยนตร์และภาพเคลื่อนไหว
.jpg คือ Jpeg File เป็นไฟล์รูปภาพชนิดหนึ่ง
.mp3 เป็นไฟล์เพลงประเภทหนึ่ง
.bmp คือ Bitmap File เป็นไฟล์รูปภาพประเภทหนึ่ง


3. โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล (DBMS) มีหน้าที่อย่างไร
ก. ดูแลรักษาข้อมูล        
ข. ติดต่อกับตัวจัดการระบบแฟ้มข้อมูล
ค. ควบคุมภาวการณ์ใช้ข้อมูลพร้อมกัน
ง. จัดการการเข้าถึงข้อมูลและไฟล์ข้อมูล
ตอบ ข.
DBMS คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูล หรือซอฟต์แวร์ที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล โดยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั้งในด้านการสร้าง การปรับปรุงแก้ไขการเข้าถึงข้อมูล และการจัดการเกี่ยวกับระบบแฟ้มข้อมูลทางกายภาพ ภายในฐานข้อมูลซึ่งต่างไปจากระบบแฟ้มข้อมูลคือ หน้าที่เหล่านี้จะเป็นของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่ม DMLหรือ DDL หรือจะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับฐานข้อมูลจะถูกโปรแกรม DBMS นำมาแปล(Compile) เป็นการกระทำต่างๆภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลในฐานข้อมูลต่อไป

4. หน่วยความจำที่ผู้ใช่สามารถบันทึกแก้ไขได้
ก. TERMINAL                    
ข. ROM
ค. RAM                                
ง. BIT
ตอบ ค.
RAM เป็นหน่วยความจำหลักที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอมที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว


5. ข้อใดเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายทั้งหมด
ก. WiFi, IP
ข. WiFi, Bluetooth
ค. 3G, ADSL
ง. 3G, Ethernet
ตอบ ข.
WiFi เป็นระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สาย
Bluetooth เป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สาย
3G เป็นการบริการสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงเช่นกัน
ADSL เป็นสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบสายตามบ้านทั่วไป
Ethernet เป็นเครือข่ายคล้ายๆ อินเตอร์เน็ตแต่เป็นวงแคบๆภายในองค์กร




ที่มา:
http://natnalin33.blogspot.com/2014/01/o-net-6.html
https://bussystem46.wordpress.com/2012/08/09/bus_system/
http://fwmail.sodazaa.com/2323.html
http://www.wanyai.ac.th/OnetT6.pdf
http://ppakkiyzbeach.blogspot.com/2014/12/o-net-6.html
http://www.mindphp.com

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ (2)



 ตำนานนางเงือกไซเรนบนโลโก้ Starbucks 


หากคุณเป็นแฟนกาแฟสตาร์บัคส์ (Starbucks) คงสังเกตเห็น ‘โลโก้นางเงือกสีเขียว’ ในปัจจุบันที่เหลือเพียงแต่รูปนางเงือกที่ไม่มีชื่อยี่ห้อ ทำไมถึงเป็นเช้่นนั้น? เรามีคำตอบในเรื่องนี้ พร้อมกับความเป็นมาของโลโก้ของกาแฟชื่อดังยี่ห้อนี้


ที่มา: http://www.huffingtonpost.com/2014/06/01/valuable-workers_n_5428207.html


ปี2011 แฟนกาแฟ สตาร์บัคส์ (Starbucks) คงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นก็คือการปรับเปลี่ยน ตราสัญลักษณ์ (Logo) นางเงือกสีเขียวยังอยู่ แต่สตาร์บัคส์ได้ตัดคำว่า Coffee ออกไปเรียบร้อยแล้ว

ความจริงการเปลี่ยนโลโก้ของสตาร์บัคส์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก สตาร์บัคส์ปรับเปลี่ยนโลโก้มาแล้วสองครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนใหม่เป็นครั้งที่สามในปีนี้


ที่มา: http://blog.wdwinfo.com/2013/04/01/lawsuit-seeks-to-ban-starbucks-in-the-magic-kingdom/


ในปีค.ศ.1971 ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ตลาดไพค์ เพลส (Pike Place Market) เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะร้านขายกาแฟและชาขนาดเล็ก โดยหุ้นส่วน 3 คน คือ เจอร์รี่ บัลด์วิน ครูภาษาอังกฤษ, เซฟ ซีเกล ครูสอนประวัติศาสตร์ และ กอร์ดอน บาวเกอร์ นักเขียน ทั้งสามมีความชอบเหมือนกันสองอย่าง คือ กาแฟของพีท (Alfred Peet นักธุรกิจรุ่นใหม่ยุคนั้นที่ขายเมล็ดกาแฟคุณภาพดี) และนิยายล่าวาฬเรื่อง Moby Dick พวกเขาได้ตัดสินใจร่วมหุ้นกันเพื่อเปิดร้านกาแฟขึ้นมา ร้านกาแฟสตาร์บัคส์แห่ง แรกได้ถือกำเนิดขึ้นโดยตั้งชื่อร้านจากตัวละครในเรื่อง Moby Dick นวนิยายคลาสสิกสมัยศตวรรษที่ 19 ของอเมริกา ประพันธ์โดย Herman Melvilles นั่นเอง

มีบันทึกไว้ด้วยว่า ก่อนเปิดร้านครั้งนั้น เทอร์รี่ เฮคเลอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับกอร์ดอน และเป็นช่างศิลป์ ได้ให้ความช่วยเหลือในการตั้งชื่อและออกแบบสัญลักษณ์ ในตอนแรกกอร์ดอนเสนอชื่อ พีโคด (Pequod) เป็นชื่อเรือตามนิยายโปรด แต่เทอร์รี่ไม่เห็นด้วย นักออกแบบอยากให้ได้ชื่อที่มีความรู้สึกถึงการผจญภัย แฝงไว้ด้วยปริศนาให้ขบคิดถึงที่มาและความหมาย สิ่งเหล่านี้ประกอบกันขึ้นมาจนได้รูปลักษณ์ที่เมื่อผู้คนมองเห็นแล้วเกิดคำ ถามต่างๆ มากมาย


ที่มา: http://hlmgarrison.com/tag/moby-dick/


สตาร์โบ (Starbo) คือชื่อแรกที่เทอร์รี่คิดออก ที่มาของคำนี้คือชื่อของเหมืองแร่ทางตอนเหนือ แต่หลังจากที่ระดมความคิดกันอยู่นาน ชื่อนั้นก็ผันออกมาเป็น สตาร์บัคส์ (Starbucks) ด้วยความบังเอิญ และด้วยความที่เป็นหนอนหนังสือ  เจอร์รี่รู้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อของตัวละครที่อยู่ในหนังสือล่าวาฬเรื่อง Moby Dick ในที่สุดก็ได้ชื่อ ‘สตาร์บัคส์‘ ชื่อที่ทำให้หวนคิดถึงเรื่องราวการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นในมหาสมุทร การซื้อขายเมล็ดกาแฟของเหล่าพ่อค้านักเดินเรือ


ส่วนโลโก้นั้นได้มาจากการค้นพบรูปแกะสลักโบราณสมัยศตวรรษที่ 15 เทอร์รี่ได้ลงค้นหารูปจากหนังสือเกี่ยวกับสมุทรศาสตร์เล่มเก่าๆ จนไปเจอกับรูปของ นางเงือกไซเรนสองหาง (Norse Siren) เทพนิยายปรัมปรา และเข้ากันได้ดีกับคำว่าสตาร์บัคส์ ชวนให้นึกถึงการผจญภัยในทะเลเช่นเดียวกัน


ที่มา: http://mermaidsofearth.com/starbucks-mermaid/


เรื่องเล่าของ ‘นางเงือกไซเรนสองหาง’ มีหลายตำนาน ไซเรน (Siren) คือนางเงือก (Mermaid)หรือไม่นั้นยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด เพราะแต่ละตำนานไม่เหมือนกัน บางตำนานก็ใช้ตัวเดียวกัน บางตำนานก็เป็นคนละตัวกัน สำหรับนางเงือกนั้นเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้วว่ามีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลา แต่ไซเรนในตำนานโบราณหรือแม้แต่รูปภาพยุคเก่ามากๆ เป็นผู้หญิงครึ่งนกที่ไม่มีปีก ต่อมาตำนานระยะหลังกลับกลายมีรูปร่างในลักษณะเดียวกับนางเงือกไป

เรื่องของ ‘ไซเรน’ ในตำราปกรนัมบอกว่า พวกไซเรนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในทะเล มีเสียงทรงเสน่ห์ เสียงร้องเพลงของเหล่าไซเรนล่อใจให้นักเดินเรือเข้ามาสู่ความตาย ไม่เป็นที่ทราบกันว่าพวกนางมีหน้าตาอย่างไร เพราะไม่มีใครที่เคยเห็นพวกนางแล้วรอดกลับมาเลย

“มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดจากความตายของไซเรนมาได้ คือ โอดิสซิอุส ครั้งหนึ่งโอดิสซิอุสได้ล่องเรือออกเดินทาง เส้นทางนั้นต้องผ่านเกาะที่นางไซเรนอาศัยอยู่ นางพวกนี้เป็นนักร้องเสียงหวานไพเราะที่ใครได้ยินจะต้องลืมหมดทุกสิ่ง และในที่สุดแล้วเสียงเพลงของพวกนางจะคร่าชีวิตของเขาไป โครงกระดูกขึ้นราของบรรดาผู้ที่พวกนางล่อลวงมาสู่ความตาย กองสูงเรียงรายริมชายฝั่งรอบกายพวกนางซึ่งร้องเพลงอยู่ โอดิสซิอุสเตือนคนของเขาเรื่องนี้ และบอกวิธีเดียวที่จะแล่นเรือผ่านไปได้อย่างปลอดภัยคือ แต่ละคนต้องเอาขี้ผึ้งมาอุดหูไว้ อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองต้องการที่จะได้ยินเสียงของพวกนาง จึงขอให้ลูกเรือมัดเขาไว้กับเสากระโดงเรืออย่างแน่นหนาจนเขาไม่สามารถดิ้น หลุดไปได้ พวกลูกเรือทำตามและแล่นเรือเข้าไปใกล้เกาะ  ทุกคนนอกจากโอดิสซิอุสล้วนไม่ได้ยินเพลงชวนให้หลงใหลนั้น เขาได้ยินเสียงเพลงและเนื้อร้องนั้นยิ่งเย้ายวนใจกว่าทำนองเสียอีก เนื้อร้องกล่าวว่าพวกนางจะมอบภูมิรู้ให้กับชายแต่ละคนที่มาหาพวกนาง เป็นสติปัญญารอบรู้และจิตวิญญาณที่เฉียบแหลมว่องไว ‘เรารู้ทุกสิ่งที่จะเป็นอนาคตบนโลก’ เสียงเพลงของพวกนางมีท่วงทำนองแสนเสนาะอยู่อย่างนั้น และหัวใจของโอดิสซิอุสก็ปวดร้าวด้วยความโหยหา แต่เชือกรั้งตัวเขาไว้ และอันตรายนั้นก็ผ่านพ้นไป…”


ที่มา: http://www.designers.com/blog/history-of-todays-memorable-and-successful-logos/


ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1971 สตาร์บัคส์ได้ เปิดตัวพร้อมกับโลโก้รูปนางเงือกไซเรนสองหาง ผมยาว สวมมงกุฎ เปลือยอกและโชว์สะดือ อยู่ในวงกลมพื้นสีน้ำตาล มีแถบด้านข้าง ภายใต้วงกลมรูปไซเรนมีคำว่า Starbucks Coffee Tea Spices เพื่อแสดงว่า สตาร์บัคส์จำหน่ายเครื่องเทศและเมล็ดกาแฟ

ต่อมาเมื่อถึงปี ค.ศ. 1987 สตาร์บัคส์ได้ปรับเปลี่ยนโลโก้เป็นครั้งแรก โดยในปีนั้นเป็นปีที่สตาร์บัคส์เพิ่มเครื่องดื่ม เอสเพรสโซ่ เข้าไว้ในเมนูเครื่องดื่ม จึงปรับข้อความในวงกลมให้เหลือเพียง Starbucks และ Coffee ในพื้นสีเขียว ในตอนนั้นนักออกแบบได้นำเสนอพื้นสีของโลโก้ไว้สองสี คือสีเขียวและสีแดง มร.โฮวาร์ด ชูลท์ซ (เข้ามาร่วมงานกับสตาร์บัคส์ครั้ง แรกในช่วงต้นทศวรรษที่ 80) ได้เลือกสีเขียวให้เข้ากับการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมในสมัยนั้น  ขณะที่นางเงือกไซเรนได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูขึงขังน้อยลง ยิ้มทักทายลูกค้าที่เข้ามาในร้านมากขึ้น เกล็ดปลาที่หางเปลี่ยนเป็นลายล่อนคลื่น แต่ยังคงไว้ซึ่งการโพสท่าแบบเดิม มีเรือนผมมาบังหน้าอก แต่ยังคงโชว์สะดือ

ปี ค.ศ. 1992 สตาร์บัคส์ได้เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (Nasdaq National Market) โดยใช้ชื่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า SBUX และวางแผนขยายกิจการไปในต่างประเทศ (ค.ศ. 1996) จึงได้ปรับเปลี่ยนโลโก้อีกครั้งในปีนั้น เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เปิดรับวัฒนธรรมและลูกค้าจากนานาประเทศ ตัวอักษรยังคงเดิม เพียงแต่ขยายรูปนางเงือกไซเรนให้ใกล้เข้ามา เพื่อให้เห็นแต่ช่วงบนและปลายหาง ส่วนสะดือได้หายไปในปีนั้น กล่าวได้ว่าเป็นโลโก้ที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักสตาร์บัคส์เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ หลังจากสตาร์บัคส์เข้ามาทำตลาดจริงจังในไทยเมื่อปีพ.ศ.2543 และคุ้นเคยกับโลโก้นี้เรื่อยมาจนถึงวันนี้

และแล้วสตาร์บัคส์ก็เปลี่ยนโลโก้อีกครั้งในปีนี้ ค.ศ. 2011 เนื่องจากเป็นอีกก้าวสำคัญของสตาร์บัคส์ในวาระการเฉลิมฉลองครบ 40 ปีของการดำเนินธุรกิจ ตราโลโก้ใหม่ของสตาร์บัคส์เป็นการนำเสนอธุรกิจในรูปแบบใหม่ สตาร์บัคส์จำหน่ายกาแฟที่มีคุณภาพพร้อมกับผลิตภัณฑ์อีกมากมายนอกเหนือจากกาแฟ โลโก้สตาร์บัคส์ล่าสุดได้ตัดคำว่า Starbucks และคำว่า Coffee ออกไปจนหมด เหลือเพียงรูปนางเงือกไซเรนสีขาวบนพื้นสีเขียว

สตาร์บัคส์บอกว่า ตราสินค้าโฉมใหม่ยังคงสะท้อนถึงประวัติความเป็นมาและอนาคตที่สดใสซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ที่กาแฟ ไม่ว่าจะที่ร้านกาแฟหรือในร้านขายของทั่วไปอีกต่อไป การเน้นที่นางเงือกไซเรนและลบวงกลมออก เพื่อให้ไม่จำกัดกรอบอยู่เพียงแต่กาแฟอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ สตาร์บัคส์ยังคงเป็นธุรกิจที่เน้นด้านกาแฟเป็นหลักเช่นเดิม

ปัจจุบัน ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ จำกัด ตั้งอยู่ที่เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน เปิดร้านไปทั่วโลกมากกว่า 16,000 สาขา ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศอเมริกาเหนือ อังกฤษ ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประเทศในเขตตะวันออกกลาง


ที่มา: http://www.kitchendaily.com/read/starbucks-cards-are-setting-christmas-records


สตาร์บัคส์ได้ รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำทางด้านการดำเนินธุรกิจกาแฟ การคั่วกาแฟ และถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟของโลก ใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายหลักเป็นร้านที่ให้บริการขายกาแฟและผลิตภัณฑ์เกี่ยว กับกาแฟภายใต้ชื่อ ‘ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่’ โดยยึดนโยบาย one cup at a time, one customer at a time ให้บริการแบบพิเศษเฉพาะบุคคลเพื่อมอบประสบการณ์สตาร์บัคส์ในการทำกาแฟทุกแก้วให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด

ตัวอย่างการปรับโฉมตราสินค้าของสตาร์บัคส์ ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอสิ่งที่เป็นตัวตนของสตาร์บัคส์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการแสดงออกว่าบริษัทให้ความสำคัญกับพันธมิตร ลูกค้าและชุมชนรวมทั้งทิศทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทของตนเอง



ที่มา: https://wwisartsakul.wordpress.com/2011/04/13/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5/


วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์


โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์
(Java)



Java คืออะไร
ภาษา Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ( OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior)

Java คืออะไร จาวา คือภาษาคอมพิวเตอร์ สำหรับเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ

  Java หรือ Java programming language คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส 
C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน จุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้

     ข้อดีของ ภาษา Java
     -  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
     -  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
     -ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
     - ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
     -  ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
     -มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ

    ข้อเสียของ ภาษา Java
    -ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile  โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
    -tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)


ที่มา: http://mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2185-java-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย




  Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย  


(ที่มาของภาพ: 
http://www.chatham-kent.ca/PublicLibraries/ProgramsandEvents/Pages/techtrainingworkshop5.aspx)


จากการใช้งานอินเตอร์เนตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและการใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการสร้างเว็บไซต์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา เรียกว่า "Social Network" ซึ่งSocial Network นั้นมีหลายประเภท ได้แก่

1.Identity Network เช่น Myspace, Hi5, Facebook เป็นต้น ใช้สำหรับนำเสนอตัวตน และเผยแพรเรื่องราวของตนเองทางอินเตอร์เน็ต รวมถึงการสร้างกลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่มๆ บนเครือข่าย

2.Creative Network เช่น YouTube ,Flickr  สามารถนำเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง

3.Interested Network เช่น del.icio.us เป็น Online Bookmarking หรือ Social Bookmarking โดยเป็นการบุ๊คมาร์คเว็บที่เราสนใจไว้บนอินเทอร์เน็ต สามารถแบ่งปันให้คนอื่นดูได้และยังสามารถบอกความนิยมของเว็บไซต์ต่างๆได้

4.Collaboration Network คือเป็นการร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์หรือส่วนต่างๆของซอฟต์แวร์ เช่น Google

5.Gaming/Virtual Reality เช่น Second.life 





(ที่มาของภาพ:http://www.lakeshorebranding.com/company/blog/internet-marketing-and-seo-tips-how-you-can-use-instagram-for-business/)


ปัจจุบัน Social Network เข้ามามีอิทธิพลกับสังคมในปัจจุบันอย่างมาก หลายคนอาจจะเคยจำ Hi5 ได้ ยุคนั้นถือเป็นการเริ่มมีการเข้ามาของเวบไซต์ประเภท Social Networkในไทย ผลสำรวจขณะนั้นมีผู้ใช้เป็นจำนวนกว่าล้านคนแสดงถึงความยอดนิยมได้อย่างชัดเจน แต่ภายหลังในปี2006 Hi5ได้รับความนิยมน้อยลง เว็บไซต์ Facebook ก็ได้เริ่มเข้ามา ซึ่งมีแอพพลิเคชั่น ลูกเล่นที่หลากหลายมากกว่า Hi5 อย่างเช่นการกดlikeโพสต์/รูปที่ชอบ, เกมต่างๆ (อาทิ Farmville, Cafe World), ห้องสนทนาส่วนตัว, ฯลฯ และก็ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งtwitterและinstagram อีกด้วย 





(ที่มาของภาพ:http://thumbsup.in.th/2012/02/how-do-universities-use-social-media-successfully/)


โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนและนักศึกษา Social Network เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นๆที่ใช้สำหรับติดต่อกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงในระบบการศึกษาด้วย ผู้สอนนั้นสามารถประยุกต์มันเข้ากับการเรียนการสอน ทำให้เกิดการเรียนที่มีระบบ ทันสมัย มีประสิทธิภาพ นักเรียนก็จะให้ความสนใจมากกว่าการสอนแบบเดิมๆบนกระดาษธรรมดาๆแน่นอน 


วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ


14 ภาพวาดสะท้อนถึงสังคมในศตวรรษที่ 21 


Jonh Holcroft เขาเป็นที่รู้จักกันดีในนามของนักเขียนการ์ตูนชาวอังกฤษ เขาได้วาดภาพสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมและพฤติกรรมของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นไปในเรื่องของมนุษย์สมัยใหม่มักพึ่งพาเทคโนโลยีมากกว่าสิ่งอื่น ทำให้มนุษย์นั้นเกิดความโลภและทำให้คุณค่าของมนุษย์นั้นถูกบั้นถอนลง จนสังคมอาจมองว่าภาพของเขานั้นเป็นการเสียดสีสังคมยุคใหม่ และผู้เขียนได้แทรกเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับรูปภาพต่างๆมาเป็นเกร็ดความรู้ทั้งด้านทางโลกและทางธรรมให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ

1. LIKE ยิ่งมาก EGO ยิ่งสูง

satiric-illustrations-john-holcroft-1

มาทำความรู้จักกับ EGO กันเถอะ!

EGO เป็นหนึ่งในทฤษฎีบุคลิกภาพของ ซิกมัน ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาแบบจิตวิเคราะห์ คิดค้นทฤษฏีจิตวิเคราะห์กล่าวว่าโครงสร้างบุคคลิภาพนั้นเป็นพลังแสวงหาความสุข (Pleasure Ceeking Prenciple) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความต้องการต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงความดีงาม และสิ่งเหล่านี้ได้ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด จิตของมนุษย์จึงถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน Id, Ego และ Super Ego เป็นพลังผลักดันให้บุคคลมีพฤติกรรมต่างกัน แต่เราจะมาทำวามรู้จักกับคำว่า “EGO” กัน EGO หรือที่ใครหลายๆคนมักใช่พูดกันว่า “เขาเป็นคน Ego สูง” กันดีกว่า
EGO เป็นพลังแห่งการรับรู้ความเข้าใจ รู้ข้อเท็จจริงว่าอะไรดีหรือไม่ดี พลังของอีโก้จะทำให้เรานั้นบรรลุเป้าหมายที่ตนเองได้ตั้งไว้ เพื่อตอบสนองต่อความสุข อีโก้มีข้อดีก็คือช่วยเป็นแรงผลักดันให้ตนนั้นประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ หรือเป็นคนที่คิดอย่างมีเหตุผลและมีหลักการที่ดี แต่เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียที่แอบแฝงอยู่คือ หากมี EGO มากเกินไปก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
ดังนั้นรูปภาพดังกล่าวจึงต้องการจะสื่อถึงความนิยมชมชอบที่มนุษย์มอบให้เขาโดยการกด Like นั้นถือเป็นแรงผลักดันให้คนๆนั้นมี Ego ทางด้านความคิด และการยกระดับตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งนั้นดี ภาพนั้นสวย มีผู้คนมากมายหลงหรือชื่นชอบในตัวฉันเพราะฉันน่ารัก ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่เราให้ค่าของมันด้วยตัวของเราเอง เมื่อคนเรามีอีโกสูงขึ้น ก็จะเกิดความหย่อหยิ่ง และความหลงใหลในตัวเอง ทำให้คนเหล่านั้นแสดงความพฤติกรรมและมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากเดิม จนบางที Like ก็เปรียบเสมือนสุนัขที่รออาหารจากเจ้าของ ว่ามื้อนั้นเจ้าของจะให้มากหรือน้อย ถ้าได้มากก็จะรู้สึกดีใจและอยากได้เพิ่ม แต่ถ้าได้น้อยก็จะรู้สึกไม่พอใจ

2. HAPPINESS OF PACKET

satiric-illustrations-john-holcroft-7

อะไรคือความสุข ?

ความสุขจากการเป็นผู้รับหรือสุขจากการเป็นผู้ให้ ความสุขของคนเรานั้นมีระดับที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพและฐานะทางสังคม บางคนอาจจะมีความสุขจากการที่ได้นั่งทานอาหารร่วมกัน ได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ และได้มอบความรักให้แก่คนในครอบครัวและคนที่เรารัก ซึ่งความสุขแบบนี้เรียกว่า ความสุขทางใจนั้นเอง หากเป็น Happiness of pacget นั้นจะเป็นการรวมกันของความสุขทางจิตใจและความสุขทางวัตถุมารวมกัน เช่น ความสุขจากการออกไปเที่ยว เพราะบางคนเชื่อว่าการที่เราได้ไปเที่ยวนั้นเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังทำให้ได้เปิดมุมมองและได้รับประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิต ความสุขจากการเล่นดนตรี ร้องเพลงหรือฟังเพลง นั้นช่วยลดความเครียด กระตุ้นแรงบันดาลใจในการทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ ทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น และทำให้หงุดหงิดได้อยากขึ้น ความสุขจากการได้ซื้อของ คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายเป็นเหมือนกันแต่เท่าที่สังเกตจะเห็นว่าความสุขจากการซื้อของนั้นคงต้องยกให้ผู้หญิงแล้วล่ะ เพราะได้ขึ้นชื่อว่านัก Shopping มือโปร ทำไมการซื้อของหนึ่งชิ้นหรือหลายชิ้นจึงถือว่าเป็นความสุข? ก็เพราะว่าหลายคนนั้นมีความอยาก และความฝันที่จะมีสิ่งของที่คุณชอบสักอย่างมาเป็นของตัวเอง เช่น รถยนต์ กีตาร์ เปียโน กระเป๋า นาฬิกา เป็นต้น และสุดท้ายคือคามสุขจากการกิน ก็คือเมื่อได้รับประทานอาหารที่อร่อย ถูกปากและดีนั้นก็จะทำให้มีความสุขอย่างน่าอัศจรรย์

3. หมอก็เหมือนเครื่องเล่น ถ้าไม่มีเงินก็เล่น(รักษา)ไม่ได้

satiric-illustrations-john-holcroft-13

หมอ ?

แพทย์หรือหมอนั้นเป็นอาชีพที่คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน แต่รู้หรือไม่ว่าการที่แพทย์จะทำการรักษาคนหนึ่งคนนั้นจะต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่สะสมมามาใช้ในการรักษา ดังนั้นการที่คนไข้หนึ่งคนเดินเข้าไปหาหมอหนึ่งคนก็เท่ากับเราได้มอบแขนหนึ่งข้างให้กับเขาไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคนที่มีอาชีพเป็นหมอไม่ควรมองแค่ฉันอยากมีอาชีพนี้เพราะเงินดี แต่ให้มองควบคุมไปถึงศีลธรรม จรรยาบรรณด้วยว่า เรามีหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้ที่ได้รับการเจ็บป่วยอย่างเต็มที่ แม้คนๆนั้นจะไม่ใช่คนมีฐานะเราก็ควรจะรักษาให้เขาหายและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
หากพิจารณาจากรูปดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพที่สะท้อนสังคมว่า การรักษาของแพทย์(บางคน)ในปัจจุบันนั้นจะรักษาได้อย่างเต็มที่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก นั้นก็คือเงิน หากผู้ป่วยรายไหนที่มีฐานะก็จะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากคนไข้รายนั้นมีเงินน้อยก็อาจจะได้รับการรักษาที่ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อความข้างตันเป็นเพียงการตีความข้อภาพเท่านั้นแต่ถ้าจะมองให้ลึกลงไปก็จะมองได้อีกแง่หนึ่งคือไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ก็มักจะมีเรื่องของเงินหรือรายได้เขามามีส่วนอยู่แล้ว เพราะเงินก็ถือเป็นส่วนที่ทำให้เรามีปัจจัย 4 นั้นก็คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค หากเราไม่มีทรัพย์หรือเงินมนุษย์ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้เพราะขาดปัจจัย 4 นั้นเอง

4. ผลของบุหรี่หนึ่งมวน

satiric-illustrations-john-holcroft-9

เสียเงินไม่พอ ยังเสียสุขภาพด้วย..

ทำไมเธอถึงสูบบุหรี่? หลายคนที่โดนถามคำถามนี้ก็มักจะตอบว่า “สูบเพราะเครียด สูบเพราะเท่ห์ สูบแล้วทำให้สวยขึ้น สูบแล้วทำให้ผอมลงและอีกหลากหลายเหตุผล” แต่ถ้ามองลึกลงไป สิ่งที่ผู้สูบนั้นได้กล่าวมาเป็นเพียงข้อดีที่พวกเขานั้นรู้สึกได้ว่ามันดี แต่ไม่ได้มองข้อเสียระยะยาวเลยว่าสุขภาพของคุณนั้นจะดีหรือไม่เรามาดูข้อเสียของเจ้าบุหรี่กันว่ามีอะไรบ้าง
ข้อเสียหรือผลกระทบของบุหรี่นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ระยะด้วยกันนั้นก็คือ ผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวกล่าวคือ ผลกระทบระยะสั้นคือ  ประสาทสัมผัสของการรับรู้กลิ่นและรส จะทำหน้าที่ได้ลดลง แสบตา น้ำตาไหล ขนอ่อนที่ทำหน้าที่พัดโบก เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมภายในหลอดลมเป็นอัมพาต หรือทำงานได้ช้าลด ระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ในปอด และในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น มีกลิ่นตัวและมีลมหายใจที่เหม็น ส่วนผลกระทบระยะยาวนั้นก็คือ โรคมะเร็งปอด โรคเส้นเลือดหัวใจตีบทำให้หัวใจขาดเลือด มีความเสียงต่อการเกิดอาการหัวใจวาย ถุงลมโป่งพอง และทำใหสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
หากข้อเสียที่ผู้เขียนได้กล่าวมาข้างต้นนั้นมีมากกว่าข้อดี ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ลด ละ และเลิกสูบบุหรี่เถอะค่ะ เพราะนอกจากสุขภาพจะเสียแล้วยังเสียทรัพย์มากมาย สู้ว่าหากเราหาวิธีในการลดความเครียดอย่างฟังเพลง เล่นกีฬา หรือการเล่นดนตรีก็อาจจะช่วยลดความเครียดหรือความทุกข์ไปได้และไม่เสียสุขภาพอีกด้วย

5. ทาสสัญญา

satiric-illustrations-john-holcroft-14
หลายครั้งที่เรามักจะรับปากทำสิ่งๆหนึ่งให้กับคนอื่น หรือสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะ “ฉันจะ…..ฉันสัญญา” และเมื่อถึงเวลาก็มักจะทำตามสัญญาดังกล่าวไม่ค่อยได้เพราะมีเรื่องหรือเหตุการณ์มาทำให้เราไม่สามารถทำตามข้อตกลงนั้นๆได้ ซึ่งการทำตามสัญญานั้นถือว่าเป็นหน้าที่พื้นฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม เพราะการสัญญาหรือการรับปากนั้นก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของคนแต่ละคนที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง การรักษาสัญญาจะทำให้เกิด Self Protection หรือทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน มีความเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากขึ้น

6. OUTSOURCE OFFICE WORKS

satiric-illustrations-john-holcroft-10

OUTSOURCE คืออะไร?

Outsource หรือการจ้างพนักงานแบบชั่วคราวนั้นหมายถึง การว่าจ้างบริษัทหรือบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆเป็นการเฉพาะ เข้ามาทำงานนั้นๆแทนให้ทั้งหมดหรืออาจจะเป็นแค่เพียงในบางส่วน โดยที่สำคัญคือจะต้องไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานในภาพรวมของทางบริษัทด้วย ซึ่งอาจจะว่าจ้างรับเป็นชิ้นๆงานหรือเซ็นสัญญาว่าจ้างกันเป็นระยะเวลาแบบรายเดือนหรือรายปีก็สามารถทำได้ตามแต่ที่จะตกลงกันระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ที่รับจ้าง ซึ่งปัจจุบันระบบการทำงานในลักษณะของ Outsource กำลังเป็นที่ได้รับความนิยมสนใจในหมู่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า SME จนไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ประเภทข้ามชาติเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถตอบสนองและเข้าถึงความต้องการในรูปแบบการทำธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ประโยชน์ของการทำธุรกิจด้วยการใช้ Outsource คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลาฝึกพนักงานใหม่แถมยังเป็นพนักงานมืออาชีพทำให้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีบริษัทส่วนมากจึงจ้าง Outsoruce มากขึ้นเพราะว่าหากบริษัทนั้นๆไม่พอใจต่อการทำงานดังกล่าวก็สามารถเปลี่ยนบริษัทได้ทันที

7. เห็นแก่ตัว โดยการตัดต้นไม้ทำลายป่า

satiric-illustrations-john-holcroft-12

ต้นไม้ 1 ต้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

ต้นไม้นั้นนอกจากจะให้ร่มเงาแล้ว ยังช่วยคายออกซิเจนในช่วงกลางวัน ทำให้เราได้รับอากาศที่บริสุทธิ์อันมีผลดีต่อสุขภาพ ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกและสภาวะโลกร้อน เป็นที่อยู่ของสัตว์น้อยใหญ่ พืช ผล สามารถนำมาเป็นอาหารและมาปรุงเป็นยารักษาโรค(บางชนิด)ได้ รากของต้นไม้ช่วยยึดผิวดินไม่ดินดินถล่ม และชะลอความแรงของน้ำ ลำต้นสามารถนำมาแปรรูปเป็น บ้าน และที่พักอาศัย ด้วยประโยชน์ที่หลากหลายของต้นไม้นี้เองจึงทำให้มนุษย์ที่เห็นประโยชน์ของต้นไม้มาทำเป็นประโยชน์ของตัวเอง โดยการตัดต้นไม้เพื่อนำต้นไม้เหล่านั้นมาแปรรูปหรือส่งออกเพื่อให้เกิดรายได้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาเรียกว่า Butterfly Effect เป็นผลกระทบที่เกิดจากสิ่งเล็กๆ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่นสภาวะโลกร้อนนั้นเอง

8. แรงดึงดูดจากแม่เหล็กตัวเดียวกัน

1959799_10152697953844425_4636827908628085984_n
แรงดึงดูดที่เราเห็นในภาพนั้นก็คือแม่เหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งแม่เหล็กขนาดใหญ่นั้นก็คือ บริษัทหรืองานที่เราจะต้องเดินเข้าไปทำในอนาคต ถ้ามองภาพกว้างๆก็คือหลังจากที่เรียนจบแล้วคนส่วนมากก็มักจะเดินไปในจุดเดียวกันคือ “หางานทำ” แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่จะคิดส่วนทางกับคนอื่นๆ

9. มนุษย์ก้มหน้า...สังคมก้มหน้า

satiric-illustrations-john-holcroft-6
“มนุษย์ก้มหน้า” ศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคของโซเชียลมีเดีย เพราะปัจจุบันคนทั่วไปจะมีโทรศัพท์หรือแท็บแล็ตกันคนละเครื่อง แล้วก็จะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างนั้น การกระทำเหล่านี้ทำให้เราสนใจบุคคลรอบข้างได้น้อยลง จากที่เมื่อก่อนเราจะหันหน้ามามองกันบ้าง ทำให้เราได้เห็นรอยยิ้มหรือส่งยิ้มให้กันและกัน กล้าที่จะพูดคุยกันมากขึ้น แต่สมัยนี้ไม่กล้าพูดกันตรงๆแต่กลับบอกข้อความต่างๆผ่านทางการแชทบ้าง หรือการขึ้นสถานะบน Facebook บ้าง แทนที่จะยิ้มให้กันและกัน กลับยิ้มให้โทรศัพท์ แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ แม้แต่เวลาข้ามถนนหรืออยู่กลางถนน ก็ยังจ้องมองไปที่จอภาพ มากกว่าที่จะระมัดระวังตัวจากภยันตรายรอบข้าง บางทีได้รับสัญญาณก็ไม่รับรู้ เพราะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปฏิสัมพันธ์ที่อยู่บนโลกไซเบอร์ ไม่ใช่ปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งความเป็นจริง หรือไม่ได้อยู่กับสติ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มากขึ้น เพราะการเล่นโทรศัพท์นั้นทำให้เรามีสติในการทำอีกสิ่งหนึ่งน้อยลง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบตามมาภายหลัง

10. สิ่งที่เห็นช่างต่างจากความเป็นจริง

satiric-illustrations-john-holcroft-2

เวลาคุณส่องกระจก คุณรู้สึกอย่างไร ?

เชื่อว่าเมื่อเรานั้นส่องกระจกก็อยากที่จะเห็นเรือนร่างที่สวยงามกันใช่มัย แต่สิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงมักจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหากคุณดื่มเบียร์ เขาว่ากันว่า “ดื่มเบียร์วันละแก้วจะทำให้มีสุขภาพที่ดี” งั้นเรามาดูข้อดีของการดื่มเบียร์กัน ข้อดีข้อแรกเลยคือ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และทำให้มีอายุยืน แต่ถ้าหากว่าดื่มมากเกินไปก็จะเกิดผลเสียต่อตับและทำให้อ้วนขึ้นอีกด้วย

11. เนื้ออันโอชะ

10714313_10152697953759425_9189779740701049442_o

การไม่มีไขมันเป็นลาภอันประเสริฐนั้นเองยังไงมาดูกัน!

ไขมันที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนังของเรานั้นมักจะเกิดขึ้นตามบริเวณหน้าท้อง ซึ่งน้ำหนักตัวของเราจะมากหรือน้อยพุงอันน้อยอันมากของคุณบอกได้เลยทีเดียว ข้อดีและข้อเสียของไขมัน
ไขมัน เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมนุษย์ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมีไขมันเป็นส่วนประกอบ วิตามินเอ ดี อี เคจำเป็นต้องใช้ไขมันในการดูดซึม นอกจากนี้ไขมันยังเป็นตัวช่วยห่อหุ้มอวัยวะและกระดูก ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและยังช่วยให้ร่างกายมีความอบอุ่น ร่างกายสร้างไขมันบางชนิดไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น การได้รับไขมันในอาหารบ้างจะทำให้รู้สึกอิ่มนาน และเพิ่มความอร่อยให้กับอาหารด้วย
ในบางคนที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงมากและบ่อยเกินไป ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายมาก อาจส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยเฉพาะการบริโภคไขมันชนิดไม่ดีร่วมกับการได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุล ตัวอย่างเช่น กินของมัน ของหวานมาก แต่กินผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ น้อย ในทางตรงกันข้ามมีการศึกษาในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มคนที่อาศัยอยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่บริโภคไขมันสูง แต่เป็นไขมันที่ได้มาจากมะกอกและน้ำมันมะกอกเป็นส่วนใหญ่ ประชากรกลุ่มนี้มีอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยมาก ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าไขมันที่บริโภคส่วนใหญ่เป็นไขมันชนิดที่ดี และอาหารอื่นๆ ที่พวกเขาบริโภคนั้นให้สารอาหารที่สมดุลกว่าด้วย ได้แก่ สารอาหารจากผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นหลัก เนื้อปลารองลงมา และเนื้อสัตว์อื่นๆไม่มากนัก ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารธรรมชาติที่มีคุณค่าทั้งสิ้น

12. คิดจะพัก คิดถึงการนอน

1601085_10152697954634425_2905787378560612020_n

รู้หรือไม่ว่าการนอนหลับก็เป็นอีกหนึ่งกิจวัตรที่คุณควรทำเป็นประจำ?

ทำไมผู้เขียนถึงบอกว่าการนอนหลับก็ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันได้ด้วย นั้นก็เป็นเพราะว่ามนุษย์เรานั้นมักจะเขียนตารางเวลาว่าเรานั้นต้องทำอะไรบ้างในหนึ่งวันบางคนเขียนตารางงานหรือเป้าหมยตัวเองล้วงหน้าเป็นเดือนแต่มีอยู่หนึ่งอย่างที่คุณไม่ได้เขียนลงไปในตารางเวลาของคุณ เพราะคุณคิดว่า “จะทำเมื่อไหร่ก็ได้” นั้นก็คือ “การนอน”
การนอนที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นควรนอนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมงและจะต้องเป็นเวลาช่วง 21.00-05.00 น. ทำไมถึงต้องนอนช่วงเวลานี้ด้วยล่ะจะหลับตอนกลางวันกลางคือก็เหมือนกัน? งั้นเรามาดูประโยชน์ของการนอนตรงเวลากันก่อนแล้วคุฯจะรู้ว่าทำไม ! เพราะว่าการนอนตรงเวลานั้นมีประโยชน์หลายประการ อาทิ ทำให้สุขภาพดี ไม่เป็นโรคร้ายแรงต่างๆ อย่างโรคหัวใจ ความดันต่ำ โรคเบาหวาน ซึ่งล้วนเกิดจากการนอนไม่หลับต่อเนื่องเป็นเวลานานทั้งสิ้น การนอนหลับอย่างเพียงพอยังช่วยให้ฉลาดและความจำดีขึ้น เพราะการนอนหลับอย่างเต็มที่จะช่วยทำให้ไม่ลืม
สิ่งต่างๆ ที่กักเก็บข้อมูลมาทั้งวัน ทำให้สามารถทำสิ่งเหล่านั้นในวันต่อไปได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แถมยังช่วยให้เข้าใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย และการนอนหลับอย่างเพียงพอยังทำให้มีรูปร่างที่ดีได้ เนื่องจากการนอนจะช่วยให้ระบบการเผาพลาญสามารถทำงานได้ดีนั่นเอง และที่สำคัญคือการนอนหลับในตอนกลางวันนั้นจะทำให้เราพักผ่อนได้ไม่สนิทเท่าที่ควรเพราะมักจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ช่วงที่เรากำลังนอนหลับนั้นแทนที่ร่างกายเราจะได้พักผ่อนแต่กลับยังต้องทำงานเหมือนเดิม เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะมีอาการมึนหัว รู้สึกอยากนอนต่อ ไม่สดชื่นและมีอารมณ์ที่หงุดหงิดง่ายขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการนอนในช่วงตอนกลางคืนนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากกว่านอนกลางวันนั้นเอง

13. ข้ออ้างของคนโสด

1560545_10152697953939425_1848052417967133560_n
“คนมีความรักมักจะดูเด็กลงไม่นิดนึง” สงสัยประโยคนี้จะใช่ไม่ได้กับสาวโสดซะแล้ว เพราะว่าบางครั้งคนโสดอาจจะดูเด็กกว่าคนที่ไม่โสดล่ะสิ…เรามาดูกันว่าประโยชน์ของการเป็นคนโสดช่วยเพิ่มความสุขให้กับเขาและเธอนั้นได้อย่างไร?
ประโยชน์ของการเป็นคนโสดนั้นก็คือทำเป็นทุกอย่าง เก่งไปซะทุกเรื่อง หุ่นดีผอมเพรียวเพราะว่าคุณจะมีเวลาดูแลร่างกายของตัวเองมากขึ้น สามารถตามหาความฝันของตัวเองจนเจอได้เร็วกว่าคนมีคู่ สามารถแต่งตัวตามใจตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องแคร์ใคร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกสองข้อที่บรรดาหนุ่มโสดและสาวโสดชอบกันมากที่สุดคือ เขาและเธอนั้นสามารถใช้เงินคนเดียวและยังสามารถตามใจตัวเองได้อีกด้วย

14. การรั่วไหลของข่าวในปัจจุบัน

1013641_10152697954489425_5587785789598478420_n
การรั่วไหลของข่าวสารในปัจจุบัน นับว่ามีให้เห็นอยู่มากมายนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นข่าวด้านการเมือง ข่าวสังคม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวอาชญากรรม  ข่าวบันเทิงและข่าวกีฬา ซึ่งในปัจจุบันมีการปล่อยข่าวสารออกมาอย่างต่อเนื่องโดยผ่านสื่อต่างๆอาทิ หนังสือพิมพ์ ทางโทรทัศน์ และทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งแหล่งข่าวที่ถือว่าเกิดการรั่วไหลของข่าวสารในด้านดีและไม่ดีมากที่สุดนั้นก็คือข่างสารผ่านทางเพจเฟสบุ๊ค โดยเพจข่าวนั้นก็มักจะมาจากแหล่งตามสำนักต่างๆ หรือมาจากบล๊อคตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการเผยแพร่ข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนบ้างครั้งยังไม่ได้ตรวจสอบว่าเรื่องราวที่นำมาเผยแพร่ต่อที่สาธารณะจริงหรือเท็จมากเพียงใด อีกทั้งการเผยแพรข่าวสารด้วยช่องทางยังเป็นการกระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เรามักจะเห็นได้บ่อยครั้งเลยครั้งเลยคือเมื่อมีการปล่อยข่าวผิดๆออกมาแล้วแหล่งข่าวต่างๆก็มักจะปล่อยข่าวแก้จนผู้ได้รับข่าวยังเราเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเราควรจะเชื่อข่าวไหนกันดี !! โดยเฉพาะข่าวบันเทิงหรือข่าว Gossip ติดกระแสที่คนไทยนิยมอ่านและให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม แล้วผู้เขียนก็เขียนข่าวกันอย่างมันส์มือกันเลยที่เดียว
ที่มา: http://65blogs.com/entertainment/14-illustations-of-social-effect-in-twenty-century/